เจาะลึกต้นทุนการสร้างบูธไม้ 1 ชุด ควรเตรียมงบเท่าไหร่
ก่อนจะเริ่มต้นขายของในงานแฟร์ งานตลาดนัด หรืออีเวนต์ต่าง ๆ สิ่งสำคัญที่สุดคือ “การเตรียมบูธ” โดยเฉพาะบูธไม้ที่ได้รับความนิยมสูงเพราะสวย แข็งแรง และช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้ร้านได้อย่างมาก แต่คำถามที่คนส่วนใหญ่สงสัยคือ “สร้างบูธไม้ 1 ชุด ต้องเตรียมงบเท่าไหร่?”
บทความนี้จะเจาะลึกต้นทุนจริงแบบละเอียด ทั้งราคาวัสดุ ค่าแรง ค่าผลิต รวมถึงงบประมาณที่เหมาะสมสำหรับแต่ละระดับ เพื่อให้คุณวางแผนได้ง่ายขึ้นว่าจะ “ซื้อสำเร็จรูป” หรือ “สั่งผลิตใหม่” แบบไหนคุ้มค่ากว่า
1. ปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาบูธไม้
ต้นทุนของบูธไม้ขึ้นกับหลายปัจจัย ได้แก่
✔ ขนาดของบูธ
บูธเล็ก 1–1.2 เมตร ถูกกว่า
บูธใหญ่ 1.5–2 เมตร ราคาสูงขึ้นตามสัดส่วน
✔ ชนิดของไม้
วัสดุมีผลต่อต้นทุนมากที่สุด
-
ไม้สน: ราคาประหยัด สวย โทนอุ่น
-
ไม้ยางพารา: แข็งแรงกว่าสน ราคาเพิ่มขึ้น
-
ไม้อัดเกรด A: น้ำหนักเบา ราคากลาง
-
ไม้สัก/ไม้จริง: พรีเมียมสุด ราคาสูงที่สุด
✔ การออกแบบ (Design)
ยิ่งมีรายละเอียดเยอะ เช่น ชั้นวางหลายระดับ, หลังคา, ช่องเก็บของ ราคายิ่งสูง
✔ ระบบพับเก็บ / โมดูลาร์
ระบบยุ่งยาก = ต้นทุนเพิ่ม แต่ใช้งานสะดวกขึ้นมาก
✔ การเคลือบผิว
-
เคลือบด้าน
-
เคลือบเงา
-
เคลือบกันน้ำ
ทั้งหมดนี้เพิ่มต้นทุน 5–20% ตามคุณภาพ
2. ต้นทุนวัสดุไม้แบบประมาณการ
ด้านล่างคือราคากลางของแผ่นไม้ยอดนิยมสำหรับทำบูธ
| วัสดุ | ราคาโดยประมาณ | ความเหมาะสม |
|---|---|---|
| ไม้สน | 350–600 บาท/แผ่น | โทนอุ่น สวย ราคาประหยัด |
| ไม้ยางพารา | 450–800 บาท/แผ่น | แข็งแรงกว่าไม้สน |
| ไม้อัดเกรด A | 500–900 บาท/แผ่น | น้ำหนักเบา ใช้ง่าย |
| ไม้สัก/ไม้จริง | 1,500–3,500 บาท/แผ่น | พรีเมียมสุด |
ส่วนใหญ่บูธ 1 ชุดใช้ไม้ประมาณ 3–6 แผ่น ขึ้นกับขนาดและรูปแบบ
3. ค่าแรงช่างและค่าอุปกรณ์
➤ ค่าแรงช่างทำบูธไม้
โดยทั่วไปอยู่ที่ 800–2,500 บาท/วัน
งานละเอียด เช่น บูธที่มีหลังคาญี่ปุ่น หรือบูธที่มีชั้นโชว์หลายระดับ อาจใช้เวลาทำ 2–3 วัน
➤ ค่าตัดไม้และขึ้นรูป
ร้านไม้บางแห่งคิดเพิ่ม
-
ค่าตัดชิ้นงาน: 200–400 บาท
-
ค่าไส/ขัด: 150–300 บาท
-
ค่าเซาะร่อง/ขันน็อต: 200–500 บาท
➤ ค่าอุปกรณ์เสริม
-
น็อต / เดือยไม้ / ข้อต่อ: 50–200 บาท
-
บานพับ / มือจับ: 50–150 บาท
-
ไฟ LED Strip / Track Light: 300–1,200 บาท
-
ป้ายโลโก้: 300–1,500 บาท
4. คำนวณต้นทุนบูธไม้แบบ “ราคาเริ่มต้น”
นี่คือตัวอย่างคำนวณต้นทุนบูธไม้ 1 ชุดสำหรับผู้เริ่มต้น
(A) บูธไม้ทั่วไปแบบโต๊ะ + ชั้น
-
ไม้สน 3 แผ่น: 1,200 บาท
-
อุปกรณ์ประกอบ: 150 บาท
-
ค่าแรงช่าง 1 วัน: 1,200 บาท
-
เคลือบผิว: 200 บาท
รวมต้นทุน ~ 2,700 บาท
ราคาขายตามท้องตลาดมักอยู่ที่ 3,500–4,500 บาท
(B) บูธไม้แบบมีชั้นโชว์ 2–3 ระดับ
-
ไม้สน / ไม้อัดเกรดดี: 1,500–2,000 บาท
-
อุปกรณ์ + ข้อต่อ: 200–300 บาท
-
ค่าแรงช่าง 1–2 วัน: 1,500–2,000 บาท
-
เคลือบผิว: 300 บาท
รวมต้นทุน ~ 3,500–5,000 บาท
ราคาขายตามตลาด: 5,500–7,500 บาท
(C) บูธไม้หลังคาญี่ปุ่น / หลังคาผ้าใบ
-
ไม้ 4–6 แผ่น: 2,000–3,000 บาท
-
ผ้าใบ + โครงหลังคา: 500–1,000 บาท
-
อุปกรณ์: 300 บาท
-
ค่าแรง 2–3 วัน: 2,000–3,000 บาท
-
เคลือบผิว: 400–500 บาท
รวมต้นทุน ~ 5,000–7,800 บาท
ราคาขายตามตลาด: 7,000–12,000 บาท
(D) บูธไม้โครงเหล็ก + ชั้นไม้ (Hybrid Booth)
-
โครงเหล็ก: 1,500–2,500 บาท
-
ไม้: 1,500 บาท
-
ค่าแรงเชื่อมเหล็ก + ทำไม้: 2,000–4,000 บาท
-
เคลือบผิว: 400 บาท
รวมต้นทุน ~ 5,400–8,400 บาท
ราคาขายตามตลาด: 8,500–12,000 บาท
5. ถ้าอยากทำบูธไม้เองควรเตรียมงบเท่าไหร่?
ถ้าคุณทำเองทั้งหมด เช่น ตัดไม้ ประกอบ ขัด และเคลือบ
งบประมาณจะลดลงประมาณ 30–50%
งบประมาณคร่าว ๆ
-
ทำเอง: 2,000–4,000 บาท
-
ให้ช่างทำ: 3,500–8,000 บาท
-
สั่งร้านรับผลิตแบบพรีเมียม: 8,000–20,000 บาท
ราคานี้ขึ้นกับรูปแบบบูธเป็นหลัก หากเป็นบูธที่มีหลังคา ป้ายไฟ หรือระบบพับเก็บ ราคาจะสูงขึ้นตามความซับซ้อน
6. ควรซื้อหรือควรสั่งทำ?
✔ ซื้อสำเร็จรูป เหมาะกับ
-
ร้านเริ่มต้น
-
ผู้ขายที่ต้องการใช้งานทันที
-
บูธเล็ก–กลาง
-
งบจำกัด
✔ สั่งทำ เหมาะกับ
-
ต้องการดีไซน์เฉพาะแบรนด์
-
ต้องการความแข็งแรงสูง
-
ต้องการระบบพับเก็บแบบพิเศษ
-
บูธที่ต้องใช้งานระยะยาว
7. ทิปส์ประหยัดงบเมื่อต้องทำบูธไม้
✔ เลือกใช้ไม้สน จะประหยัดที่สุด
✔ ใช้ชั้นวางแบบโมดูลาร์ เพิ่มทีหลังได้
✔ เคลือบผิวเอง (น้ำยาเคลือบ 1 กระป๋องใช้ได้หลายงาน)
✔ ขอให้ร้านไม้ตัดขนาดให้ จะประหยัดเวลา
✔ ใช้ไฟ LED ที่ติดตั้งง่ายและราคาถูก
สรุป: บูธไม้ 1 ชุดควรเตรียมงบเท่าไหร่?
✔ บูธธรรมดา
2,700 – 4,500 บาท
✔ บูธชั้นโชว์หลายระดับ
4,000 – 7,500 บาท
✔ บูธหลังคาญี่ปุ่น / มินิมอล
5,000 – 12,000 บาท
✔ บูธโครงเหล็ก + ไม้
8,000 – 12,000 บาท
✔ บูธไม้พรีเมียมสั่งทำ
10,000 – 20,000 บาท
บูธไม้ไม่เพียงแต่สวยงาม แต่ยังช่วยยกระดับภาพลักษณ์แบรนด์ของคุณ ทำให้ร้านดูมืออาชีพ และสามารถใช้งานซ้ำได้หลายครั้ง ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาวสำหรับคนออกงานแฟร์ประจำ
