การจะออกบูธในงานแฟร์หรืออีเวนต์ต่าง ๆ มักมาพร้อมคำถามสำคัญว่า ควร “ซื้อบูธไม้” หรือ “เช่าบูธไม้” แบบไหนคุ้มค่ากว่ากัน?  แต่ละแบบมีข้อดี-ข้อเสียที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงบประมาณ ความสะดวก ความยืดหยุ่น การใช้งานระยะยาว หรือภาพลักษณ์ของแบรนด์ บทความนี้จะพาคุณวิเคราะห์ทุกมุมแบบละเอียด พร้อมสรุปให้ว่าคุณเหมาะกับทางเลือกใดมากที่สุด


1. เช็กความต้องการก่อน: ออกบูธบ่อยแค่ไหน?

ก่อนจะตัดสินใจซื้อหรือเช่า คุณต้องตอบคำถามนี้ให้ได้ก่อน:

  • ออกบูธทุกเดือน?

  • ออกบูธปีละ 2–3 ครั้ง?

  • ออกเฉพาะงานใหญ่?

  • เพิ่งเริ่มธุรกิจ ยังไม่แน่ใจว่าอนาคตจะออกบูธอีกไหม?

เพราะ “ความถี่ในการใช้งาน” คือปัจจัยหลักที่ช่วยตัดสินว่าควรซื้อหรือเช่า


2. ข้อดี–ข้อเสียของการ เช่าบูธไม้

ข้อดีของการเช่า

1) ประหยัดงบ ไม่ต้องลงทุนก้อนใหญ่

การเช่าบางครั้งแค่หลักร้อย–หลักพันต่อวัน เหมาะกับคนที่ต้องการลดค่าใช้จ่ายในช่วงเริ่มต้นธุรกิจ

2) ไม่ต้องเก็บ ไม่ต้องขนเอง

บูธบางขนาดหนักกว่า 30–60 กิโลกรัม การยก เก็บ หรือขนย้ายมักเป็นเรื่องยุ่งยาก แต่การเช่ามักมีบริการติดตั้ง-เก็บงานให้ครบ

3) เปลี่ยนสไตล์ได้บ่อย

ออกงานครั้งนี้อยากได้โทนมินิมอล
ครั้งหน้าอยากได้โทนลอฟท์
การเช่าทำให้สามารถเปลี่ยนสไตล์ตามธีมงานได้อย่างอิสระ

4) รวดเร็ว พร้อมใช้ในไม่กี่นาที

บูธเช่ามักเป็นแบบประกอบง่าย ใช้เวลาไม่เกิน 5–10 นาที จึงเหมาะกับงานแฟร์ที่มีเวลาติดตั้งจำกัด


ข้อเสียของการเช่า

1) ใช้หลายครั้งรวมกันแพงกว่า “ซื้อ”

ถ้าออกงานบ่อย เช่น เดือนละ 2–4 ครั้ง ค่าเช่าอาจรวมแล้วแพงกว่าบูธซื้อภายในไม่กี่เดือน

2) ปรับแต่งได้น้อย

บูธเช่ามีแบบมาตรฐาน ปรับเปลี่ยนโครงสร้างหรือฟังก์ชันได้จำกัด เช่น

  • เพิ่มชั้นวางไม่ได้

  • เปลี่ยนขนาดไม่ได้

  • ตกแต่งบางอย่างไม่ได้

3) ต้องจองล่วงหน้า

ช่วงงานใหญ่ เช่น สยามเซ็นเตอร์, ไอคอนสยาม หรืองาน OTOP บูธไม้เช่ามักเต็มเร็ว


3. ข้อดี–ข้อเสียของการ ซื้อบูธไม้

ข้อดีของการซื้อ

1) ใช้กี่ครั้งก็ “คุ้มทุน”

ถ้าออกงานเดือนละครั้งขึ้นไป มักคุ้มกว่าการเช่า เพราะใช้ซ้ำได้หลายปี

2) ออกแบบได้ตามแบรนด์ของคุณ

  • ใส่โลโก้

  • ใส่สีประจำแบรนด์

  • ออกแบบชั้นวางตามสินค้า

  • ใส่ไฟเฉพาะจุด

  • เพิ่มพื้นที่เก็บของด้านหลัง

  • ปรับฟังก์ชันแบบ Custom

เหมาะกับแบรนด์ที่ต้องการบูธที่ “ไม่เหมือนใคร”

3) ภาพลักษณ์มืออาชีพกว่า

บูธที่ทำเฉพาะแบรนด์ มักดูเรียบร้อยและเข้าธีมมากกว่าแบบเช่าสำเร็จรูป ลูกค้ารับรู้ถึงความใส่ใจได้ทันที

4) แข็งแรงกว่าและรองรับน้ำหนักได้มากกว่า

บูธซื้อส่วนใหญ่ใช้วัสดุคุณภาพ เช่น ไม้อัด ไม้ยางพารา ซึ่งแข็งแรงกว่าไม้ประกอบแบบเช่า


ข้อเสียของการซื้อ

1) ต้องลงทุนก้อนใหญ่

ราคาบูธไม้ซื้อเริ่มตั้งแต่ 3,000–15,000+ บาท หรือมากขึ้นตามงานดีไซน์

2) ต้องมีพื้นที่เก็บ

ถ้าบ้านหรือร้านพื้นที่จำกัด อาจไม่สะดวกในการเก็บหลังใช้งาน

3) ต้องขนย้ายเอง (ถ้าไม่มีบริการ)

บางบูธมีน้ำหนักเยอะ ต้องมีรถหรือทีมงานช่วยขน


4. ตารางเปรียบเทียบ “ซื้อ vs เช่า” แบบชัด ๆ

ประเด็น เช่าบูธไม้ ซื้อบูธไม้
ค่าใช้จ่าย ประหยัดระยะสั้น คุ้มระยะยาว
การขนย้าย ไม่ต้องทำเอง ต้องขนเอง (บางกรณี)
พื้นที่เก็บ ไม่ต้องมี ต้องมีพื้นที่
การออกแบบ จำกัด ปรับแต่งได้เต็มที่
ความแข็งแรง ปานกลาง แข็งแรงกว่า
ความถี่ใช้งาน ดีสำหรับใช้น้อยครั้ง เหมาะกับใช้งานบ่อย
ความเป็นมืออาชีพ มาตรฐาน ดูพรีเมียมกว่า

5. ตัวอย่างสถานการณ์จริง: แบบไหนเหมาะกับคุณ?

✔ กรณีที่ 1: ออกบูธเดือนละครั้งขึ้นไป → ซื้อคุ้มกว่า

เพราะค่าเช่ารวม ๆ แพงกว่าใน 3–4 เดือน

✔ กรณีที่ 2: พึ่งเริ่มขายสินค้า ยังไม่รู้ผลตอบรับ → เช่าจะปลอดภัยกว่า

ลดความเสี่ยง ไม่ต้องลงทุนเยอะ

✔ กรณีที่ 3: ใช้ตามงานธีมต่าง ๆ → เช่าเหมาะกว่า

เพราะต้องเปลี่ยนสไตล์บ่อย เช่น งานแนวญี่ปุ่น งานอาร์ต งานวินเทจ

✔ กรณีที่ 4: แบรนด์ต้องการความเป็นเอกลักษณ์ → ซื้อดีที่สุด

เพราะสามารถทำ Custom Design ตาม CI Brand ได้ครบ

✔ กรณีที่ 5: ไม่มีที่เก็บ → เช่าเท่านั้น

เว้นแต่ใช้บริการเก็บของ (บางผู้ให้บริการมีเพิ่ม)


6. เปรียบเทียบค่าใช้จริงให้เห็นภาพ

กรณีบูธเช่า 600 บาท/วัน
ออกงานเดือนละ 2 ครั้ง = 1,200 ต่อเดือน
1 ปี = 14,400 บาท

บูธซื้อดีไซน์สวย ๆ ราคา 4,000–7,000 บาท
ซื้อคุ้มตั้งแต่เดือนที่ 3–4 เป็นต้นไป


7. บทสรุป : ซื้อหรือเช่าแบบไหนคุ้มกว่า?

เช่าบูธไม้ เหมาะกับคุณ หาก…

  • ออกงานนาน ๆ ครั้ง

  • พึ่งเริ่มขายสินค้า

  • ไม่มีพื้นที่เก็บของ

  • ต้องการเปลี่ยนสไตล์ตามงาน

  • ต้องการความสะดวก (ไม่ต้องประกอบเอง)

ซื้อบูธไม้ เหมาะกับคุณ หาก…

  • ออกงานบ่อย

  • ต้องการความคุ้มค่ายาว ๆ

  • อยากได้ดีไซน์เฉพาะสำหรับแบรนด์

  • ต้องการภาพลักษณ์มืออาชีพ

  • ต้องการความแข็งแรงและรองรับน้ำหนักมาก


สรุปสุดท้าย

ไม่มีคำตอบตายตัวว่าแบบไหนดีกว่า
แต่สิ่งที่สำคัญคือ
✔ ประเภทของสินค้า
✔ งบประมาณ
✔ ความถี่ในการออกงาน
✔ พื้นที่เก็บของ
✔ ความต้องการด้านดีไซน์

การเลือกบูธไม้ที่เหมาะสม ไม่ว่าจะซื้อหรือเช่า ต้องสอดคล้องกับ “สไตล์แบรนด์” และ “ความคุ้มค่าระยะยาว”